ทำความเข้าใจกลุ่มอาการปัสสาวะในถุงมีสีม่วง: สภาวะทางการแพทย์ที่พบได้ไม่บ่อย

กลุ่มอาการปัสสาวะในถุงมีสีม่วงหรือ Purple pee หรือ purple urine bag syndrome (PUBS) มักพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็สร้างความกังวลให้กับบุคลากรทางการแพทย์และตัวผู้ป่วยเองอยู่ไม่น้อย สีของปัสสาวะในถุงที่เปลี่ยนไปที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนมักพบร่วมกับอาการแสดงอื่น ๆ จึงทำให้การจัดการกับสภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที แต่อย่างไรก็ดีหากแพทย์ขาดความรู้ความเข้าใจในการจัดการที่ถูกต้องก็อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอันตรายหรืออาจนำไปสู่การแทรกแซงที่ไม่จำเป็น รวมถึงความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยอื่น ๆ และภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นได้ ในบทความนี้ขอนำเสนอกรณีที่เป็นตัวอย่างของ PUBS รวมถึงสาเหตุและกลไกในการเกิดกลุ่มอาการดังกล่าวไปจนถึงกลยุทธ์ในการจัดการที่มีอยู่ในปัจจุบัน

บทนำ

PUBS เป็นอาการทางคลินิกที่พบไม่บ่อยและโดยทั่วไปมักไม่เป็นอันตราย ปัสสาวะในถุงปัสสาวะของผู้ป่วยจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง [1] ซึ่งมีสาเหตุมาจากการมีแบคทีเรียในปัสสาวะ (bacteriuria) โดยที่ผู้ป่วยอาจมีอาการของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (urinary tract infections; UTI) หรือไม่ก็ได้ เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้จะสร้างเอนไซม์ที่กระตุ้นการสร้าง metabolites ที่มีสีน้ำเงินและสีแดง เมื่อรวมกันจึงทำให้มองเห็นสีของปัสสาวะเป็นสีม่วง [2] กรณีศึกษาต่อไปนี้คือ PUBS ที่พบในผู้ป่วยสูงอายุที่มีประวัติการใส่สายสวนเป็นเวลานานร่วมกับอาการท้องผูก

กรณีศึกษา

  1. ประวัติของผู้ป่วย
    ผู้ป่วยหญิงอายุ 79 ปีเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยประวัติดังนี้
    • ปัสสาวะไม่ออก (urinary retention) ต้องใส่สายสวนปัสสาวะมาเป็นเวลานาน
    • Recurrent UTIs
    • Hypertension
    • เป็น stroke มาก่อนหน้านี้ ทำให้มีอาการพูดไม่ชัด (dysarthria) และภาวะสมองเสื่อม
  2. อาการที่พบ
    • ญาติพาผู้ป่วยมาโรงพยาบาลเนื่องจากสังเกตว่าผู้ป่วยมี mental status เปลี่ยนไป
    • ผู้ป่วยให้ข้อมูลได้บ้างแต่ดูสับสน ได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากญาติ
  3. ลำดับเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ
    • 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล ญาติสังเกตเห็นสีปัสสาวะเปลี่ยนแปลงไป
    • หลังจากนั้นผู้ป่วยก็ดูสับสนขึ้นเรื่อย ๆ
    • ผู้ป่วยรู้สึกผิดปกติที่ท้องส่วนล่าง
  4. ความเป็นอยู่ในปัจจุบัน
    • ผู้ป่วยอาศัยอยู่ที่บ้านกับครอบครัว
    • เดินไม่ได้ ต้องใช้รถเข็นเป็นหลัก
    • ใส่สายสวนปัสสาวะมานานแล้ว มีประวัติเป็น stroke และกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติจากระบบประสาท (neurogenic bladder)
  5. Physical Examination
    • ผอม สับสน ไม่มี acute distress
    • Dry mucous membranes
    • Active bowel sounds
    • Tenderness to deep palpation of the lower abdomen.
    • แขนขาซีกซ้ายอ่อนแรง
    • ปัสสาวะในถุงเก็บปัสสาวะมีสีม่วงดังรูปที่ 1
  6. Laboratory Findings
    • Significant normocytic anemia, hemoglobin 11 mg/dL
    • Urinalysis พบปัสสาวะสีขุ่น ผล positive ต่อ nitrites และ leukocyte esterase, white blood cell >100 cell/HPF
  7. Imaging
    • CT scan ในช่องท้องและอุ้งเชิงกรานพบ fluid-filled loops of the small bowel, borderline dilated บ่งชี้ถึงการอุดตันของลำไส้เล็กหรือเฉพาะในลำไส้เล็กส่วนต้น


      รูปที่ 1: ถุงเก็บปัสสาวะของผู้ป่วยตอนที่ญาติพามาที่แผนกฉุกเฉินที่ภายในมีปัสสาวะสีม่วง
  8. การรักษาในขั้นต้น
    • จากผล urine culture ก่อนหน้านี้ แพทย์จึงเริ่มให้การรักษาด้วย ceftriaxone เป็น empiric antibiotic
    • เปลี่ยนถุงเก็บปัสสาวะใหม่
    • ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและเริ่ม aggressive bowel regimen
  9. ผลการรักษา
    • ใน 24 ชั่วโมงแรกพบ significant improvement in mentation
    • ใน 48 ชั่วโมงหลังเริ่มการรักษา กลับสู่ภาวะ baseline mentation
    • สีปัสสาวะเปลี่ยนกลับเป็นสีเหลืองตามปกติ
    • Bowel movement เพิ่มขึ้นร่วมกับมี toleration of oral nutrition intake
  10. Microbiological Findings: Urine culture positive ต่อ Proteus mirabilis และ Escherichia coli
  11. Antibiotic: ปรับ antibiotic ตามผล culture เพื่อรักษา complicated UTIs
  12. Discharge: แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้และนัดมาติดตามอาการต่อที่แผนกผู้ป่วยนอก

อภิปราย

โดยปกติแล้ว PUBS ที่เกิดจาก bacterial colonization ในทางเดินปัสสาวะของผู้ป่วยที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานานนั้นมักไม่เป็นอันตราย [1] สีม่วงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการรวมกันของ metabolites 2 ชนิดที่แบคทีเรียสร้างขึ้นในปัสสาวะที่มีสีแดงและสีน้ำเงิน [2] สารทั้ง 2 ชนิดนี้เป็น metabolites ของ tryptophan ในทางเดินอาหาร ดังแสดงในรูปที่ 2 โดย tryptophan จะผ่านกระบวนการ metabolic conversion ในทางเดินอาหารก่อนที่จะถูก metabolized ในตับจนเกิดเป็น indoxyl sulfate จากนั้น indoxyl sulfate จะถูก metabolized กลายเป็น indoxyl โดยเอนไซม์ phosphatase และ sulphatase ที่สร้างโดยเชื้อแบคทีเรียสาเหตุ สาร indoxyl นี้จะเปลี่ยนเป็นสีแดง (indirubin) และสีน้ำเงิน (indigo) ในสภาวะที่ปัสสาวะมีความเป็นด่างหรือมีภาวะ dehydration  [3]

รูปที่ 2: แสดงการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่เป็นสาเหตุของการเกิด PUBS

PUBS สัมพันธ์กับแบคทีเรียที่ทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง ได้แก่ Providencia, Klebsiella, Proteus, และ Enterobacteriaceae [4] อย่างไรก็ดีการที่ปัสสาวะเป็นสีม่วงไม่ได้บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเสมอไป เพราะอาจเป็นเพียงผลจาก bacterial colonization อย่างเดียวก็ได้ แม้ในกรณีที่เป็น asymptomatic bacteriuria การแยกว่า PUBS ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการติดเชื้อหรือไม่เป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม ใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน และมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น เคลื่อนไหวไม่ได้ ท้องผูก และเป็นโรคไตเรื้อรัง [5,6]

อาจยังไม่จำเป็นต้องให้การรักษาหากผู้ป่วยมี PUBS เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นกลุ่มอาการที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงและสีปัสสาวะจะกลับคืนเป็นปกติได้เองหรือการใช้ antibiotic เพื่อทำให้ปัสสาวะมีความเป็นกรดมากขึ้น [7] แต่หากมีอาการแสดงอื่น ๆ ร่วมด้วยควรให้การรักษาด้วย antibiotic ที่เป็นไปตามผล culture ต่อไป การเข้าใจต่อความไวของเชื้อต่อ antibiotic มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเชื้อมักดื้อต่อยา antibiotic หลายชนิดจากการใส่สายสวนปัสสาวะติดต่อกันเป็นเวลานานและมีโอกาสในการกลับเป็นซ้ำค่อนข้างสูง [8]

การป้องกันถือเป็นแนวทางหลักในการจัดการกับ PUBS โดยควรลดระยะเวลาในการใส่สายสวนให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และหมั่นขจัดสิ่งอุดตันในสายสวนปัสสาวะเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโดยทำให้ปัสสาวะไหลผ่านท่อสวนปัสสาวะได้ดี [9] 2 มาตรการหลักที่แนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและ PUBS จึงเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้สายสวนเป็นเวลานานและการเปลี่ยนสายสวนเป็นประจำ

สรุป

PUBS พบได้ไม่บ่อยและไม่เป็นอันตราย เกิดจากแบคทีเรียในสายสวนปัสสาวะในผู้ที่ต้องใส่สายสวนในระยะยาว แท้จริงแล้วเป็นการส่งสัญญาณว่ามีแบคทีเรียเติบโตในทางเดินปัสสาวะมากเกินไป แต่อาจจะเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อหรือไม่ก็ได้ การรักษา PUBS ด้วย antibiotic จะพิจารณาในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการในระบบทางเดินปัสสาวะเท่านั้น ซึ่งในกรณีนี้ควรมีการตรวจยืนยันด้วย urine analysis และ culture ด้วย เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมและเฉพาะเจาะจงต่อความไวของเชื้อต่อยาต่อไป


เอกสารอ้างอิง

  1. Vallejo-Manzur F, Mireles-Cabodevila E, Varon J: Purple urine bag syndrome. Am J Emerg Med. 2005, 23:521-4. 10.1016/j.ajem.2004.10.006.
  2. Kumar R, Devi K, Kataria D, Kumar J, Ahmad I: Purple urine bag syndrome: an unusual presentation of urinary tract infection. Cureus. 2021, 13: e16319. 10.7759/cureus.16319
  3. Popoola M, Hillier M: Purple urine bag syndrome as the primary presenting feature of a urinary tract infection. Cureus. 2022, 14: e23970. 10.7759/cureus.23970
  4. Shaeriya F, Al Remawy R, Makhdoom A, Alghamdi A, M Shaheen FA: Purple urine bag syndrome. Saudi J Kidney Dis Transpl. 2021, 32:530-1. 10.4103/1319-2442.335466
  5. Kalsi DS, Ward J, Lee R, Handa A: Purple urine bag syndrome: a rare spot diagnosis. Dis Markers. 2017, 2017:9131872. 10.1155/2017/9131872
  6. Yang CJ, Lu PL, Chen TC, Tasi YM, Lien CT, Chong IW, Huang MS: Chronic kidney disease is a potential risk factor for the development of purple urine bag syndrome. J Am Geriatr Soc. 2009, 57:1937-8. 10.1111/j.1532-5415.2009. 02445.x
  7. Lee J: Images in clinical medicine. Purple urine. N Engl J Med. 2007, 357: e14. 10.1056/NEJMicm061573
  8. Sabir N, Ikram A, Zaman G, Satti L, Gardezi A, Ahmed A, Ahmed P: Bacterial biofilm-based catheter-associated urinary tract infections: causative pathogens and antibiotic resistance. Am J Infect Control. 2017, 45:1101-5. 10.1016/j.ajic.2017.05.009
  9. Amoozgar B, Garala P, Velmahos VN, Rebba B, Sen S: Unilateral purple urine bag syndrome in an elderly man with nephrostomy. Cureus. 2019, 11: e5435. 10.7759/cureus.5435
Share it with
Email
Facebook
LinkedIn
Twitter
WhatsApp

Similar Articles

Data Privacy Notice

This Privacy Notice shall be read in conjunction with the Privacy Policy to the extent this Notice does not mention or specify the particulars that should have been mentioned or specified relating to the Notice in pursuance of the provisions of the Data Protection Laws as applicable.

On having accessed or visited this Platform you the Noticee hereby voluntarily consent to and take notice of the fact that the personal data, by which or in relation whereto you the concerned Noticee is identifiable, shall be retained, stored, used, and may be processed by the Company for the purpose and in the manner, though legal, found suitable to it for commercial and/or some other reasons. The detailed specificity whereof may be found in the Privacy Policy. The consent provided herein may be withdrawn anytime by you, the Noticee, at its own volition by removing your profile or by writing to us at support@docquity.com.

As a Noticee, you shall have the right to grievance redressal, in relation to your consent or our use of your personal data, which you may address by writing to us at dpo@docquity.com. Should you, the Noticee, thereafter remain unsatisfied or dissatisfied with the resolution provided by us, you, the Noticee, may approach the concerned regulatory authority for the redressal of your grievance.

Thanks for exploring our medical content.

Create your free account or log in to continue reading.

Data Privacy Notice

By using this platform, you consent to our use of your personal data as detailed in our Privacy Policy, and acknowledge that we use cookies to improve your browsing experience