กรณีศึกษาที่น่าสนใจ: อะไรที่ทำให้คู่แฝดมีพัฒนาการด้านร่างกายที่ต่างกัน?

วัยรุ่นชายอายุ 15 ปีถูกส่งตัวมาที่แผนกผู้ป่วยเด็กด้วยปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกายที่ต่ำกว่าเกณฑ์และการเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ที่ช้ากว่าปกติ สิ่งที่ผู้ป่วยต้องเผชิญไม่ใช่แค่เพียงความแตกต่างเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันเท่านั้น ที่สำคัญคือเขายังเตี้ยกว่าแฝดผู้น้องของเขาอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย ความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัวทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมกับความรู้สึกอายในเวลาที่ต้องเข้าสังคม ทำให้พ่อและแม่ตัดสินใจพาเขามาพบแพทย์ในครั้งนี้

ผลการตรวจร่างกาย

  • ส่วนสูง 131.5 cm น้ำหนัก 25 kg (ทั้งส่วนสูงและน้ำหนักน้อยกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 3)
  • ใบหน้าเล็กอย่างเห็นได้ชัด วัดเส้นรอบศีรษะ (occipitofrontal circumference) ได้ 54 cm ซึ่งต่ำกว่าช่วงปกติ
  • ความยาวของช่วงแขน (arm span) 138 cm
  • สัดส่วนช่วงแขนต่อความสูง (arm span to height ratio) เท่ากับ 1:1.05
  • อายุกระดูกเท่ากับเด็กอายุ 7 ปี
  • ความยาวอวัยวะเพศวัดได้ 4.5 cm และปริมาตรอัณฑะ 2 ml ยังไม่มีขนบริเวณหัวหน่าว
  • ความดันโลหิต 80/50 mmHg เสียงการเต้นของหัวใจปกติ
  • การตรวจสมองด้วย CT Scan ไม่พบความปกติ
  • เสียงเล็กและเบา
  • ขี้อาย แต่สื่อสารได้อย่างชาญฉลาดและร่าเริงดี ปัจจุบันเรียนอยู่ในระดับเดียวกับแฝดน้อง

ประวัติที่เกี่ยวข้อง

  • พ่อแม่ให้ข้อมูลว่าเริ่มสังเกตเห็นความแตกต่างเรื่องส่วนสูงของคู่แฝดทั้งสองมาตั้งแต่อายุ 6 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือทำการรักษาใด ๆ จนเมื่อพวกเขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นที่ความแตกต่างเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และผู้ป่วยเริ่มรู้สึกอายเมื่อต้องเข้าสังคม
  • อย่างไรก็ดีเมื่อแพทย์สืบค้นประวัติเพิ่มเติมเพื่อประเมินการเจริญเติบโตของผู้ป่วยในอดีตกลับพบว่า แท้จริงแล้วผู้ป่วยเริ่มเตี้ยกว่าแฝดน้องตั้งแต่พวกเขาอายุเพียง 2 ปีแล้ว เพียงแต่ยังสังเกตได้ไม่ชัดเจน
  • ในช่วงขวบปีแรกเขามีพัฒนาการปกติดีเช่นเดียวกับคู่แฝด
  • คลอดด้วยวิธีธรรมชาติ น้ำหนักแรกคลอด 3.2 kg
  • เขาเป็นลูกคนที่ 5 จากทั้งหมด 6 คน พี่ ๆ ของเขารวมถึงน้องชายฝาแฝดมีพัฒนาการตามวัยที่ปกติดี

ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • Hemoglobin genotype: AA
  • Serum electrolyte, urea, creatinine: อยู่ในช่วงปกติ
  • Serum hormones:
    • Testosterone, growth hormone, adrenocorticotropic hormone (ACTH), thyroxine, follicle stimulating hormone (FSH), luteinizing hormone (LH), fasting cortisol: อยู่ในระดับที่ต่ำมาก
    • Thyroid stimulating hormone (TSH): สูงกว่าปกติ

แพทย์วินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็น pediatric hypopituitarism หรือภาวะที่ต่อมใต้สมอง (pituitary gland) ทำงานบกพร่องในเด็ก ซึ่งทำให้ต่อมใต้สมองไม่สามารถควบคุมการผลิตฮอร์โมนได้เพียงพอ  

Hypopituitarism เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยในเด็ก อุบัติการณ์ของโรคน้อยกว่า 3 รายต่อ 1 ล้านคนต่อปี โดยสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกเกิด (congenital) หรือได้รับมาภายหลัง (acquired) จึงพบได้ในเด็กทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยรุ่น โดยจะมีผลทำให้เด็กเติบโตช้าและอาจนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิตได้ ภาวะพร่อง growth hormone เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มโอกาสการเสียชีวิตในผู้ป่วยเด็กถึง 3 เท่า การวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเนิ่น ๆ และการรักษาด้วย hormone replacement therapy ที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ดังกล่าวได้

สาเหตุของ congenital และ acquired hypopituitarism มีดังนี้

แพทย์ผู้ทำการรักษาได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้และสาเหตุที่ไม่น่าเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของผู้ป่วยรายนี้ไว้ ดังนี้

  1. ความผิดปกติเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 2 ปี แพทย์จึงเชื่อว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะเป็น acquired hypopituitarism
  2. ผล CT scan สมองไม่พบความผิดปกติ จึงไม่น่าเกี่ยวข้องกับ tumors
  3. ไม่พบ dysmorphic feature ที่เกี่ยวข้องกับ Pallister-Hall syndrome
  4. ขาดประวัติที่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่าไม่มีการบาดเจ็บระหว่างคลอด โดยทราบแต่เพียงว่าคลอดทางช่องคลอดตามปกติ ทำให้ประเด็นนี้ยังตัดออกไปไม่ได้
  5. สาเหตุที่แพทย์นึกถึงอีกประการหนึ่งคือ การกลายพันธุ์ของยีน แต่ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยากสำหรับผู้ป่วยรายนี้เนื่องจากไม่มีการตรวจทางพันธุกรรม

การรักษา

ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วย hormone replacement therapy ร่วมกับ growth hormone therapy

  • รักษาในช่วงเริ่มต้นด้วย levothyroxine + low dose prednisolone
  • ในเดือนที่ 7 หลังเริ่มรักษา ส่วนสูงเพิ่มขึ้น 2.5 cm และน้ำหนักเพิ่มขึ้น 2 kg ปริมาตรอัณฑะเพิ่มจากเดิม 2 ml เป็น 3 ml
  • ในเดือนเดียวกันนี้แพทย์เริ่มรักษาด้วย human chorionic gonadotropin (HCG) และตามด้วยการให้ FSH ในเดือนที่ 11
  • 1 ปีผ่านไป serum hormones อยู่ในระดับที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนรักษา (ตารางที่ 1)
  • หลังจากรักษานานร่วม 2 ปี ผู้ป่วยและครอบครัวตัดสินใจที่จะไม่รับการรักษาต่อเนื่องจากปัญหาด้านค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยา
  • ตลอดระยะเวลาของการรักษาถือได้ว่าผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษาเป็นอย่างดี แพทย์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าหากผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาเร็วกว่านี้ รวมถึงการรักษาที่ต่อเนื่องไปอีกหลังจากช่วง 2 ปีนี้ น่าจะทำให้ผลลัพธ์ด้านการรักษาดีมากยิ่งขึ้น

ตารางที่ 1 ระดับฮอร์โมนก่อนและหลังการรักษาด้วย hormone replacement therapy นาน 1 ปี

สรุป

กรณีศึกษานี้ถือเป็นการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ pediatric hypopituitarism ซึ่งแม้จะพบได้น้อยมากแต่ก็เกิดขึ้นได้กับเด็กในทุกช่วงวัย การวินิจฉัยโรคและการรักษาตั้งแต่ระยะต้น ๆ จะทำให้การพยากรณ์โรคดีและช่วยป้องกันภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิตได้


แหล่งที่มา

Oluwayemi IO, Olatunya OS, Ogundare EO, Ajite AB, Babatola AO, Adeniyi AT, Komolafe AK. Paediatric hypopituitarism: a case report and management challenges in a resource poor setting. Pan Afr Med J. 2020 Oct 20;37:170. doi: 10.11604/pamj.2020.37.170.23656. PMID: 33425203; PMCID: PMC7757318.

Share it with
Email
Facebook
LinkedIn
Twitter
WhatsApp

Similar Articles

Data Privacy Notice

This Privacy Notice shall be read in conjunction with the Privacy Policy to the extent this Notice does not mention or specify the particulars that should have been mentioned or specified relating to the Notice in pursuance of the provisions of the Data Protection Laws as applicable.

On having accessed or visited this Platform you the Noticee hereby voluntarily consent to and take notice of the fact that the personal data, by which or in relation whereto you the concerned Noticee is identifiable, shall be retained, stored, used, and may be processed by the Company for the purpose and in the manner, though legal, found suitable to it for commercial and/or some other reasons. The detailed specificity whereof may be found in the Privacy Policy. The consent provided herein may be withdrawn anytime by you, the Noticee, at its own volition by removing your profile or by writing to us at support@docquity.com.

As a Noticee, you shall have the right to grievance redressal, in relation to your consent or our use of your personal data, which you may address by writing to us at dpo@docquity.com. Should you, the Noticee, thereafter remain unsatisfied or dissatisfied with the resolution provided by us, you, the Noticee, may approach the concerned regulatory authority for the redressal of your grievance.

Thanks for exploring our medical content.

Create your free account or log in to continue reading.

Data Privacy Notice

By using this platform, you consent to our use of your personal data as detailed in our Privacy Policy, and acknowledge that we use cookies to improve your browsing experience